ประวัติวัดพระธาตุดอยตุง
| 
พระ บรมธาตุดอยตุง
  เป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดของเชียงราย ประดิษฐานอยู่บนยอดดอยตุง
  ในเขตกิ่งอำเภอแม่ฟ้าหลวง มีถนนแยกจากบ้านห้วยไคร้ขึ้นไปจนถึงองค์พระบรมธาตุ องค์พระธาตุบรมธาตุเจดีย์
  อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ ๒๐๐๐ เมตร ตามตำนานมีว่า
  เดิมสถานที่ตั้งพระบรมธาตุดอยตุง มีชื่อว่า ดอยดินแดง อยู่บน เขาสามเส้น
  ของพวกลาวจก ต่อมาสมัยพระเจ้าอุชุตะราช รัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์สิงหนวัต
  ผู้ครองนครโยนกนาคนคร เมื่อปี พ.ศ. ๑๔๕๒ พระมหากัสสป ได้นำพระบรมสารีริกธาตุในส่วนของพระรากขวัญเบื้องซ้าย
  (ไหปลาร้า) ของพระพุทธเจ้ามาถวาย ซึ่งตรงตามคำทำนายของพระพุทธองค์ว่า "ที่ดอยดินแดงแห่งนี้ ต่อไปจะเป็นที่ประดิษฐานพระมหาสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
  ในภายภาคหน้า" พระเจ้าอุชุตะราช มีพระราชศรัทธา ได้เรียกหัวหน้าลาวจกมาเฝ้า
  พระราชทานทองคำจำนวนแสนกษาปณ์ ให้เป็นค่าที่ดินบริเวณดอยดินแดงแก่พวกลาวจก แล้วทรงสร้างพระสถูปขึ้น
  โดยนำธงตะขาบยาว ๓,๐๐๐ วา ไปปักไว้บนดอย เมื่อหางธงปลิวไปไกลเพียงใด้
  ให้กำหนดเป็นฐานพระสถูปเพียงนั้น ดอยดินแดงจึงได้ชื่อใหม่ว่า ดอยตุง (คำว่า ตุง
  แปลว่า ธง) เมื่อสร้างพระสถูปเสร็จ ก็ได้นำพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวบรรจุไว้ให้คนสักการะบูชา
  ต่อมาสมัยพระเจ้าเม็งรายมหาราช แห่งราชวงศ์ลาวจก พระมหาวชิระโพธิเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย
  จำนวน ๕๐ องค์ พระเจ้าเม็งรายจึงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้นอีกองค์หนึ่ง
  เหมือนกับพระสถูปองค์เดิมทุกประการ ตั้งคู่กัน ดังปรากฎอยู่จนถึงทุกวันนี้
  "ที่ดอยดินแดงแห่งนี้ ต่อไปจะเป็นที่ประดิษฐานพระมหาสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
  ในภายภาคหน้า" พระเจ้าอุชุตะราช มีพระราชศรัทธา ได้เรียกหัวหน้าลาวจกมาเฝ้า
  พระราชทานทองคำจำนวนแสนกษาปณ์ ให้เป็นค่าที่ดินบริเวณดอยดินแดงแก่พวกลาวจก แล้วทรงสร้างพระสถูปขึ้น
  โดยนำธงตะขาบยาว ๓,๐๐๐ วา ไปปักไว้บนดอย เมื่อหางธงปลิวไปไกลเพียงใด้
  ให้กำหนดเป็นฐานพระสถูปเพียงนั้น ดอยดินแดงจึงได้ชื่อใหม่ว่า ดอยตุง (คำว่า ตุง
  แปลว่า ธง) เมื่อสร้างพระสถูปเสร็จ ก็ได้นำพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวบรรจุไว้ให้คนสักการะบูชา
  ต่อมาสมัยพระเจ้าเม็งรายมหาราช แห่งราชวงศ์ลาวจก พระมหาวชิระโพธิเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย
  จำนวน ๕๐ องค์ พระเจ้าเม็งรายจึงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้นอีกองค์หนึ่ง
  เหมือนกับพระสถูปองค์เดิมทุกประการ ตั้งคู่กัน ดังปรากฎอยู่จนถึงทุกวันนี้ ประวัติพระธาตุดอยตุง
  หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังและมีในหนังสือเรื่องฤๅษีทัศนาจรภาคเหนือ ท่านบอกมีผู้มาบอกท่าน
  (ผู้ที่ตายแล้ว) ว่าสมัยพระเจ้ามังรายมหาราชเสวยราชสมบัติได้ 37 ปี คือตั้งแต่ พ.ศ.100 ถึง พ.ศ.137 จึงสวรรคตเมื่อพระชนมายุได้ 89 พรรษา แล้วมีการสืบสันตติวงศ์ต่อมาจนถึงสมัยพระเจ้าพังคราชผู้เป็นพระราชบิดาของ
  พระเจ้าพรหมมหาราชโดยนับตั้งแต่พระเจ้าสิงหนวัติผู้เป็นต้นวงศ์ มาจนถึงพระเจ้าพังคราชรวมทั้งสิ้น
  37 รัชกาล ในเวลานั้นมีพระอรหันต์มาก พระราชาทุกพระองค์เป็นผู้ทรงธรรมไหว้พระสวดมนต์กันตลอดเวลา
  ท่านเล่าไว้สมัยที่ไปบวงสรวงที่พระธาตุดอยตุงเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2521 ผู้ที่ได้มโนมยิทธิแล้วท่านให้ดูด้วย
  ตอนนั้นท่านสอนมโนมยิทธิครึ่งกำลังเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2521 ท่านให้ดูและบันทึกให้ท่านด้วย ข้าพเจ้ามีเรื่องยาวจึงอัดเทปถวายท่าน เคยลงในหนังสือธัมมวิโมกข์เล่มไหนลืมแล้ว
  ครั้งนั้นพวกเราได้มโนมยิทธิใหม่ ๆ จึงอยากรู้อยากเห็นมาก รู้แล้วบางอย่างก็ดีใจ
  บางอย่างก็เศร้าใจน้ำตาไหล หลวงพ่อท่านก็ว่า "ลูกบางคนน้ำตาไหล
  บางคนมีการสะอื้น บางคนซึม" พ่อคิดว่าความรู้สึกของลูกเวลานั้น คงจะพบกับสภาพความเป็นจริงที่เรามีส่วนร่วมในการบูชาพระบรมสารีริกธาตุบนดอย
  ตุง ซึ่งพระเจ้าอชุตราชและพระเจ้ามังรายมหาราชนำมาบรรจุไว้ในเจดีย์ที่ลูกเห็น อยู่เวลานี้เป็นเจดีย์ที่เขาสร้างขึ้นภายหลัง
  __สำหรับเจดีย์องค์เดิมอยู่ภายในเป็นทองคำทั้ง 2 องค์ และในเจดีย์ทองนั้นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่กษัตราธิราชเจ้าทั้ง 2
  พระองค์คือพระเจ้าอชุตราชพระราชบิดา กับพระเจ้ามังรายมหาราช
  ราชโอรส นำมาบรรจุที่นี่ การบูชาคราวนั้นเป็นงานยิ่งใหญ่มาก ขณะนี้ลูกบางคนมีอำนาจธรรมปีติที่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระ
  อรหันต์ทั้งหลายท่านไปอยู่นิพพานมีความสุข ฉะนั้นอารมณ์ของลูกทั้งหลายจงอย่าให้มีอารมณ์เป็นทุกข์
  มีอย่างเดียวคือ "ธรรมสังเวช"
  ธรรมสังเวชตอนที่เราเลวเกินไป จะว่าเลวเกินไปก็ไม่ถูกเพราะการบรรลุธรรมต้องอาศัยความดีพอสมดวร
  เขามีกำหนดเวลา เช่นสาวกภูมิต้องบำเพ็ญบารมีมาแล้ว 1 อสงไขยกำไรแสนกัป
  เป็นต้น แต่พวกเราย่องมาถึง 16 อสงไขยกับแสนกัปแล้ว ก็แสดงว่าเราดีบ้างทำถูกบ้าง
  ทำผิดบ้างเป็นของธรรมดา การผิดในกาลก่อนถือว่าเป็นครู
  ในสมัยนี้ชาตินี้อย่าให้ผิดต่อไป __หลวงพ่อท่านและหลวงปู่วงศ์ได้ทำพิธียกฉัตรเมื่อวันที่
  5 พฤษภาคม 2520 หลวงปู่วงศ์เป็นผู้จัดหาฉัตรมาสวมยอดพระเจดีย์
  ท่านได้บรรจุพระธาตุข้าวไว้ในนั้นด้วย มีพวกเรา 10 กว่าคนเท่าที่จำได้
  มีพี่ชอ คุณเนียร คุณแอ๊ยุพดี จักษุรักษ์ ข้าพเจ้า พี่เหม่เลิศลักษณ์ ศรีสิงหสงคราม
  เอ๊าะอายุธ นาครทรรพ เด็กหนุ่ม นั่งรถตู้ไปรับหลวงปู่ที่วัดจามเทวี
  ลำพูนนอนที่กองพันสัตว์ต่างเชียงใหม่ 1 วัน
  รุ่งขึ้นเช้าไปเชียงรายนอนที่วัดเม็งราย ถึงวัดเม็งรายเย็นแล้วฝนตกอีกด้วยจึงทำอะไรไม่ได้
  รุ่งขึ้นอีกวันคือวันที่ 4 พ.ค. 2520 จึงทานข้าวแต่เช้านำฉัตรและบายศรีเครื่องบวงสรวงขึ้นดอยตุง โดยเปลี่ยนรถเป็นรถ
  2 แถวเจ้าถิ่นนำขึ้นไป เพราะรู้และชำนาญทาง ทางยังขรุขระฝุ่นตลบไปหมด
  ทางแคบด้วยขึ้นลงชันมากกว่านี้เวลารถลงเขาเขาจะขับเร็วมากเพื่อจะได้มีกำลัง ส่งเมื่อรถขึ้นเขา
  ดีว่าข้าพเจ้านั่งรถคันเดียวกับหลวงปู่วงศ์จึงไม่กลัวเท่าไร ถึงวัดเชิงดอยตุงหลวงปู่วงศ์นั่งไหว้ตั้งนาน
  แล้วหาพะองคือบันไดที่เป็นไม้ไผ่ยาว ๆ ต้นเดียวแล้วเจาะรูเอาไม้เสียบเล็ก ๆ พอเหยียบขึ้นไปได้
  หาและทำที่นั่นแหละ แล้วเอาขึ้นรถไปถึงยอดดอย ใกล้ ๆ จะถึงสูงชันคนต้องเดินรถพาขึ้นไม่หมด
  ถึงเจดีย์แล้วหลวงปู่ก็ขึ้นบันไดเองถึงยอดเจดีย์ เป็นว่ายอดตันไม่มีรูให้เอาฉัตรเสียบได้
  ผู้ชายจัดการทางเจดีย์ ผู้หญิงข้าพเจ้า พี่ชอ คุณเนียร ประกอบบายศรีทำด้วยกระดาษทองข้าพเจ้าทำเองที่บ้านใส่ปี๊ปไป
  กระทงก็ระดาษทองหมด ดอกไม้ก็ใช้ดอกไม้แห้งประดับตัวบายศรี ส่วนกระทงเอาดอกไม้สด
  จัดไม่ทันเสร็จดีพวกผู้ชายบอกลงไปก่อน ฉัตรใส่ไม่ได้ ต้องไปหาช่างทำเป็นหมวกสวมเอา
  ถึงเชียงรายมืดแล้ว ช่างเหล็กก็แน่ทำทั้งคืน เช้ามืดคณะล่วงหน้าไปก่อนตื่นแต่เช้ามืดไปรับหมวกที่เขาทำฉัตรติดไว้ขึ้นดอย
  ตุง จัดการไม่ทันเสร็จคณะหลวงพ่อท่านก็ไปถึง จึงช่วยกันใหญ่ หลวงปู่มหาอำพัน
  บุญ-หลง วัดเทพศิรินทร์ไปพร้อมหลวงพ่อท่าน ได้เอาทองคำเปลวไปติดฉัตรและแบ่งให้ข้าพเจ้า
  พี่ชอได้ติดด้วย ขณะที่พวกผู้ชายเอาฉัตรปีนขึ้นไปติดบนยอดเจดีย์ อากาศเป็นใจคือลมพัดเอาก้อนเมฆมาบังวิวข้างล่างไม่ให้เห็นความสูงจากยอด
  เจดีย์ลงไปที่เชิงเขา ไม่ต้องกลัวความสูง สวมฉัตรและห่มผ้าเจดีย์ 2 องค์เรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อท่านทำพิธีบวงสรวงแล้วนำเดินเวียนเทียนรอบเจดีย์ด้วย
  คณะหลวงพ่อท่านเสร็จแล้วกลับเลย คณะล่วงหน้าไปก่อนกลับทีหลัง คือนอนที่วัดเม็งรายอีก
  1 คืน รุ่งขึ้นไปส่งหลวงปู่ชัยวงศ์ที่วัดท่าน อำเภอลี้
  จังหวัดลำพูน หลวงปู่เอาบายศรีกระดาษทองไว้บูชาที่วัดท่าน นอนที่นั่นอีก 1
  คืนจึงได้กลับกรุงเทพฯ ด้วยความเป็นปลื้มสุดขีด เห็นรูปเจดีย์พระธาตุดอยตุงมีฉัตรสวยงามที่ไหนก็นึกปลื้มใจมากทุกครั้ง
  ว่าเราได้ร่วมทำด้วย หลวงพ่อท่านบอกว่าการยกฉัตรพระธาตุดอยตุงกับพระธาตุจอมกิตินั้นเพื่อแก้
  เคล็ดหรือป้องกันไม่ให้คอมมูนิสต์หรือต่างชาติยึดครองแผ่นดินของเราได้ จึงรอดปลอดภัยเป็นไทยจนทุกวันนี้ | 

 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น